Centered Image
Header
ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ยาเคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ยาเคมีบำบัด หรือที่เรียกกันว่า “เคโม” หรือ “คีโม” เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่มีการแบ่งตัวเร็ว โดยเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ก็มีผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ยาเคมีบำบัด

 

ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ยาเคมีบำบัด หรือที่เรียกกันว่า “เคโม” หรือ “คีโม”  เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่มีการแบ่งตัวเร็ว โดยเฉพาะเซลล์มะเร็ง แต่ก็มีผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน อย่างเช่น เส้นผม เซลล์เยื่อบุผิว และเซลล์เม็ดเลือด ทำให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ ได้แก่ ผมร่วง ท้องเสีย และเม็ดเลือดต่ำกว่าปกติได้ ทำให้ติดเชื้อง่าย เป็นต้น

แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนายาเคมีบำบัดกลุ่มใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีมากขึ้น และมีผลข้างเคียงลดน้อยลงกว่ายาเคมีบำบัดกลุ่มเดิม รวมทั้งยังมียาที่ช่วยป้องกันและรักษาอาการข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นยาป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาที่ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว ทำให้การใช้ยาเคมีบำบัดในการรักษาได้ผลดีกว่าเดิม และมีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้

ใช้เป็นการรักษาเสริมตามหลังการผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสให้โรคหายขาดมากขึ้น หรืออาจใช้ก่อนการผ่าตัดเพื่อลดขนาดของก้อนมะเร็ง ทำให้สามารถผ่าตัดได้ง่ายขึ้นใช้ร่วมกับรังสีรักษาในกลุ่มผู้ป่วยที่โรคอยู่ในระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ใช้เป็นการรักษาหลักในระยะที่โรคมีการแพร่กระจาย

 

ผลข้างเคียงของ ยาเคมีบำบัด


ผลข้างเคียงของ ยาเคมีบำบัด ส่วนใหญ่สามารถให้การป้องกัน หรือให้การรักษาได้ เพื่อลดความรุนแรงของผลข้างเคียงลงได้ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดได้ และผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และหายไปเมื่อให้การรักษาจนครบ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีผลข้างเคียงรุนแรงจนไม่สามารถให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดต่อไปได้ ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดที่พบบ่อย ได้แก่

 

คลื่นไส้


1.คลื่นไส้ อาเจียนพบได้บ่อย ขึ้นอยู่กับชนิดของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังได้รับยา และอาจเกิดได้นานถึง 3-7 วัน ซึ่งแพทย์ผู้รักษาจะมีการใช้ยาป้องกันอาการอาเจียนก่อนการให้ยาเคมีบำบัดในแต่ละรอบ ซึ่งได้ผลดี สามารถให้การป้องกันอาการอาเจียนได้ในผู้ป่วยเป็นส่วนใหญ่

 

อ่อนเพลีย


2.อ่อนเพลีย เบื่ออาหารเป็นได้ในช่วงสัปดาห์แรกของการให้ยาเคมีบำบัดในแต่ละรอบ เนื่องจากยาเคมีบำบัดมีผลทำให้การรับรสอาหารเปลี่ยนแปลง ความอยากรับประทานอาหารลดลง รวมทั้งตัว โรคมะเร็ง เอง ก็ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียพลังงาน การรับประทานอาหารให้มีพลังงานที่เพียงพอและครบถ้วน

โดยเฉพาะอาหารประเภทโปรตีนทั้งจากพืชและเนื้อสัตว์ โดยทานครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว พักผ่อนหรือนอนหลับให้มากขึ้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำงานหนักหรือออกกำลังที่หักโหมจนเกินไป สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยบรรเทาอาการข้างเคียงนี้ได้

 

เม็ดเลือดขาวต่ำ


3.เม็ดเลือดขาวต่ำ ทำให้ภูมิต้านทานโรคต่ำและติดเชื้อง่ายขึ้นเกิดจากยาเคมีบำบัดมีผลต่อการทำงานของไขกระดูก ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดต่างๆลดลง โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวที่ลดลง (เม็ดเลือดขาวมีหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรค) จะทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะ 10-14 วันหลังได้ยาเคมีบำบัด

ผู้ป่วยควรดูแลตัวเองเพื่อมิให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำแล้ว, ดูแลสุขภาพอนามัยในช่องปาก ไม่ให้เกิดแผลในปาก, หลีกเลี่ยงการพบปะหรือสัมผัสผู้อื่นที่เป็นหวัด มีไข้ หรือติดเชื้อ และสถานที่แออัด เป็นต้น และปัจจุบันมียาที่ช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก

 

ผมร่วง


4.ผมร่วง เกิดจากยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษามะเร็งปอดเพียงบางชนิดเท่านั้น โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับยาเคมีบำบัดครั้งแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์ โดยจะร่วงมากหรือน้อยขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัด แต่อาการนี้จะเป็นชั่วคราวในช่วงที่รักษาด้วยยาเคมีบำบัดเท่านั้น และผมจะงอกใหม่หลังจากได้รับยาเคมีบำบัดครั้งสุดท้ายประมาณ 3-4 เดือน

 

รังสีรักษา


รังสีรักษาคืออะไร


รังสีรักษา คือ การรักษาโรคมะเร็ง (Malignant Tumor) และรอยโรคที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง (Benign tumor) ด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือ อนุภาคซึ่งเป็นรังสี โดยอาศัยคุณลักษณะของรังสีแต่ละชนิดในการทำลายเซลล์

วิธีการรักษาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่


1. การใช้รังสีรักษาระยะไกล (Teletherapy) หมายถึง การรักษาที่มีต้นกำเนิดรังสีห่างจากบริเวณที่จะรักษา เช่น เครื่องฉายรังสีโคบอลต์ 60 และเครื่องเร่งอนุภาค เป็นต้น
2. การใช้รังสีรักษาระยะใกล้ (Brachytherapy) หมายถึง การรักษาที่มีต้นกำเนิดรังสีอยู่ชิดหรือภายในบริเวณที่จะรักษา

 

เทคนิคการรักษาด้วยฉายรังสี


1. การฉายรังสีแบบ 2 มิติ (Conventional Radiotherapy) ในปัจจุบันมีการวางแผนการรักษาด้วยรังสี 2 มิติ โดยทั่วไป ส่วนใหญ่ ใช้การกำหนดขอบเขตการฉายรังสีจากกายวิภาคที่สามารถเห็นจากภาพเอ็กซเรย์หรือการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ตำแหน่งของกระดูกเป็นตัวกำหนดขอบเขตการฉายรังสี และใช้เครื่อง Simulator (เครื่องเอ็กซเรย์แบบ Fluoroscopy)

ถ่ายภาพเอ็กซเรย์แล้วขีดเส้นขอบเขตการรักษา ต่อมามีการใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ถ่ายภาพ แต่การกำหนดขอบเขตการฉายรังสียังคงเป็นระนาบเดียวเท่านั้น ซึ่งลำรังสีของการ ฉายรังสีแบบ 2 มิติ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมหรือวงกลม ทำให้เนื้อเยื่อปกติในบริเวณใกล้เคียงกับรอยโรคได้รับรังสีไปด้วย การฉายรังสีแบบ 2 มิติ จึงมีข้อจำกัดในการกำหนดทิศทางการฉายรังสีและจำนวนลำรังสีได้ไม่มาก


2. การฉายรังสีแบบ 3 มิติ (Three dimension conformal Radiotherapy หรือ 3-DCRT) การฉาย รังสี โดยการวางแผนการรักษาในระบบ 3 มิติ อาศัยการกำหนดขอบเขตการรักษาจากภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดรูปร่างของลำรังสีให้มีรูปร่างและทิศทางของลำรังสีให้เหมาะสมกับรอยโรค

โดยระบบสร้างภาพ 3 มิติ ทำให้การวางแผนการฉายรังสีมีความถูกต้องมากขึ้น ทำให้สามารถให้ปริมาณรังสีสูงเฉพาะบริเวณรอยโรค และสามารถเห็นการกระจายรังสีภายในตัวผู้ป่วยได้ ทำให้ลดปริมาณรังสีบริเวณเนื้อเยื่อปกติข้างเคียงได้มากขึ้น นำไปสู่การลดผลข้างเคียงจากการฉายรังสีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว


3. การฉายรังสีแบบปรับความเข้ม (Intensity Modulated Radiation Therapy) เป็นการพัฒนาการฉายรังสีจาก 3-DCRTในการวางแผนการรักษาและระบบการคำนวณปริมาณรังสี โดยกระจายของปริมาณรังสีจะมีรูปร่างคล้ายกับรอยโรคมากขึ้น ซึ่งอาศัยหลักการปรับความเข้มของลำรังสีตามความหนาบางของก้อนมะเร็งในแต่ละทิศทางการเข้าของลำรังสี เพื่อให้เกิดความเข้มของรังสีที่แตกต่างกัน

ซึ่งในแต่ละลำรังสีจะแบ่งการกระจายรังสีออกเป็นช่อง เรียกว่า beamlet  การกำหนดความเข้มโดยการคำนวณจากเครื่องคอมพิวเตอร์วางแผนการรักษาด้วยวิธีการ Inverse Planning ซึ่งจะให้ความเข้มสูงบริเวณที่ก้อนมะเร็งหนาและความเข้มของรังสีจะลดลงบริเวณที่ก้อนมะเร็งบาง ทำให้ลำรังสีในแต่ละทิศทางมีความเข้มที่แตกต่างกัน เมื่อนำความเข้มของแต่ละทิศทางมาคำนวณปริมาณรังสีร่วมกันจะได้การกระจายรังสีที่ครอบคลุมเฉพาะก้อนมะเร็ง

เทคนิคนี้จึงช่วยเพิ่มปริมาณรังสีให้แก่รอยโรคได้สูงขึ้นและเพิ่มผลการควบคุมโรคเฉพาะที่อุปการณ์สำคัญในการกำบังรังสีและกำหนดรูปร่าง เพื่อปรับความเข้มของลำรังสี คือ Multileaf Collimator (MLC) มีลักษณะเป็นซี่สามารถเคลื่อนที่เข้าออกในบริเวณลำรังสีได้ ทำให้สามารถสร้างรูปร่างของลำรังสีในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ซึ่ง MLC จะถูกติดตั้งไว้ที่หัวเครื่องฉายรังสี จำนวนซี่ 80-120 ซี่


4. การฉายรังสีแบบหมุนรอบตัว (Dynamic Arc Radiation Therapy) การฉายรังสีที่กำหนดทิศทางการฉายรังสี โดยที่ลำรังสีเคลื่อนที่ หรือหมุนและมีการกำหนดรูปร่างลำรังสีตามรูปร่างของก้อนมะเร็งด้วย MLC ในแต่ละมุมที่หมุนรอบตัว โดยการคำนวณจากเครื่องคอมพิวเตอร์วางแผนการรักษา

ซึ่งจะได้เส้นการกระจายรังสีออกมาดังรูป เทคนิคนี้เหมาะกับการที่ใช้กับก้อนมะเร็งที่รูปร่างค่อนข้างกลมและอยู่บริเวณกลางลำตัว


5. การฉายรังสีแบบ Volumetric Intensity Modulated Arc Therapy (VMAT) เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดของการฉายรังสี ซึ่งพัฒนามาจากเทคนิคการฉายรังสีแบบ IMRT กับ Dynamic Arc เป็นการฉายรังสีแบบปรับความเข้มของลำรังสีพร้อมกับการที่ลำรังสีเคลื่อนที่หรือหมุน

เทคนิคนี้จึงมีความยุ่งยากและซับซ้อน อาศัยการคำนวณที่ยุ่งยาก โดยคอมพิวเตอร์วางแผนการรักษา ในการคำนวณปริมาณรังสี ซึ่งต้องอาศัยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อควบคุมและคำนวณปริมาณรังสีให้มีความถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งเทคนิค นี้สามารถควบคุมปริมาณรังสีแก่รอยโรคตามรูปร่างของ ก้อนมะเร็งและช่วยลดปริมาณรังสีที่เนื้อเยื่อปกติรอบ ๆ ก้อนมะเร็ง ทำให้ผล ข้างเคียงจากการฉายรังสีลดลง
 

 

ขั้นตอนการฉายรังสี 


ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหลังจากได้พบแพทย์รังสีรักษาแล้ว แพทย์จะเป็นผู้วิเคราะห์และพิจารณาว่าผู้ป่วยนั้น ๆ ควรจะได้รับการฉายรังสีด้วยเทคนิคใด โดยพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่

 

  • ตำแหน่งของโรคมะเร็งระยะของโรค
  • สภาพร่างกายผู้ป่วย
  • อายุ
  • การรักษาที่เคยได้รับมาก่อน


และเมื่อแพทย์ได้เลือกการฉายรังสี IMRT ให้กับผู้ป่วยแล้ว จะทำการนัดหมายผู้ป่วย เพื่อการจำลองการฉายรังสีด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์  ในบางครั้งอาจต้องอาศัยภาพสะท้อนคลื่นแม่เหล็ก (MRI) หรือภาพ PET scan เพื่อช่วยให้เห็นก้อนมะเร็งชัดเจนขึ้น

ในขั้นตอนนี้จะมีการขีดเส้นบอกตำแหน่งบนผิวหนังผู้ป่วยในบางครั้งอาจต้องใช้เครื่องมือยึดผู้ป่วย เช่น หน้ากากครอบศีรษะและหัวไหล่ หรือเตียงโฟมเพื่อให้ผู้ป่วยไม่ขยับเขยื้อน หลังจากนั้นแพทย์จะเป็นผู้กำหนดขอบเขตของก้อนมะเร็งและอวัยวะปกติข้างเคียงเพื่อให้นักฟิสิกส์การแพทย์วางแผนการฉายรังสีในคอมพิวเตอร์

ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-5วัน เมื่อแพทย์ตรวจสอบแผนการรักษาในคอมพิวเตอร์แล้วจึงนัดหมายผู้ป่วยเพื่อเริ่มฉายรังสีต่อไป

 

การเตรียมตัวของผู้ป่วยโดยทั่วไป  


การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ใช้การผสมผสานกันหลายวิธี ทำให้การรักษาด้วยการฉายรังสีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการรักษาโรคมะเร็งมากขึ้น โดยอาศัยหลักการที่ว่าการฉายรังสีไปยังเนื้อเยื่อของเนื้องอกหรืออวัยวะใดๆ ก็ตามซึ่งเป็น เนื้อเยื่อที่มีชีวิต รังสีจะทำให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ (DNA) ของเซลล์เนื้องอกโดยตรงทำให้เกิดการตายและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและสรีระวิทยาของเซลล์เนื้องอกนั้น
 
เป้าหมายการรักษาด้วยการฉายรังสีมี 2 ประเภท คือ


1.การรักษาให้หายขาด ในกลุ่มที่คาดหวังว่าจะรักษาให้หายขาดได้ ต้องพิจารณาให้รังสีแก่ผู้ป่วย ในปริมาณที่ เพียงพอ และบางครั้งต้องยอมรับผลข้างเคียงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่รอดได้ โดยยึดหลักสำคัญคือ การให้ปริมาณรังสีที่สูงสุด เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและผลข้างเคียงที่ยอมรับได้


2.การรักษาแบบประคับประคอง ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย โดยลดอาการเหล่านี้คือ อาการปวด การอุดตัน ภาวะเลือดออก การรักษาแผล รักษากระดูกหักจากมะเร็ง เป็นต้น

 

ผลข้างเคียงของการฉายรังสี


 
ผลข้างเคียงเฉียบพลัน พบตั้งแต่เริ่มการรักษาไปจนถึงภายใน 8 สัปดาห์หลังการฉายรังสี ซึ่งเกิดขึ้นกับบริเวณ ที่ฉายรังสี เช่น การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี การเกิดอาการอ่อนเพลีย ภูมิต้านทานต่ำจากเม็ดเลือด ขาวลดจำนวนลง เป็นต้น
 
ผลข้างเคียงระยะเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสีเสร็จสิ้นไปแล้วนานหลายเดือนจนถึง หลายปี ซึ่งเกิดจากการฉายรังสีทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด ฝอย เช่น ถ้าฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกรานจะมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือลำไส้อักเสบแบบเรื้อรังหรือช่องคลอด ตีบตัน เป็นต้น

 

ผลของการฉายรังสีจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
 

1.ความพร้อมและความร่วมมือของผู้ป่วย สภาพจิตใจ สภาพร่างกาย ภาวะโภชนาการ
ลักษณะของมะเร็ง เช่น ความไวต่อรังสี ลักษณะของเซลล์ ระยะของโรค ตำแหน่งที่เป็นมะเร็ง

 

2.ความรู้ความชำนาญของบุคลากรทางการแพทย์ และความพร้อมของเครื่องมือ
การดูแลสุขภาพทั่วไปขณะได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี
อาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ วิตามินสูง โปรตีนสูงย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา นม ไข่ ตับสัตว์  ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง


3.ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2,000-3,000 cc น้ำช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น และระบายความร้อนออกจากร่างกาย
รักษาความสะอาดทั่วไปของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

เพราะผู้ป่วยที่รักษาด้วยรังสี จะอ่อนเพลียและภูมิต้านทานต่ำ ถ้าร่างกายสกปรกจะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ถ้ามีอาการท้องผูกหรือท้องเดินให้แจ้งแพทย์ หรือพยาบาลทราบ
การพักผ่อนนอนหลับ ควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง ถ้านอนไม่หลับให้แจ้งแพทย์หรือพยาบาลทราบ
การออกกำลังกายตามสภาพของร่างกาย และทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และการไหลเวียน ของโลหิตดีขึ้น
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย หรือมีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บปาก เจ็บคอ กลืนลำบาก ผิวหนังอักเสบ ให้แจ้งแพทย์ หรือพยาบาลทราบเพื่อหาทางช่วยเหลือ

ควรทำจิตใจให้สบาย หางานอดิเรกทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูทีวี และพูดคุยกับผู้อื่น
ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ CBC สัปดาห์ละครั้ง เพื่อประเมินภาวะสุขภาพขณะรับการฉายรังสี

 

 

การดูแลผิวหนังบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี

 


การดูแลผิวหนังบริเวณที่ได้รับการฉายรังสี ห้ามลบเส้นบริเวณที่ฉายรังสีที่แพทย์ขีดไว้ เพราะถ้าเส้นลบแพทย์จะต้องขีดใหม่ ทำให้เสียเวลาในการรักษา อย่าขีดเส้นที่ลบเลือนด้วยตัวเองผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีบริเวณศีรษะ อาจมีอาการผมร่วง ไม่ควรสระผม ให้ขอคำแนะนำจากพยาบาล ก่อนห้ามใช้น้ำมันใส่ผม หรือผลิตภัณฑ์ทาผมหรือแว็กซ์ทาบริเวณที่ฉายรังสี ถ้ารู้สึกคันศีรษะ อาจใช้น้ำมันมะกอกทา ส่วน อาการผมร่วง ผมจะขึ้นใหม่ได้ภายหลังการรักษาสิ้นสุดแล้ว 2-3 เดือน
หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดจัด หรือการสัมผัสบริเวณที่ฉายรังสีโดยตรงกับความร้อนหรือความเย็น ควรสวมหมวกหลวมๆ หรือกางร่ม
ผู้ป่วยที่ได้รับการฉายรังสีบริเวณลำคอ ผิวหนังอาจมีสีแดง แห้งตึง เกิดอาการคัน ดำคล้ำ และตกสะเก็ด หรือแตกเป็นแผล ห้ามถู แกะ เกา ควรสวมเสื้อหลวมๆ นุ่มๆ ที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เพื่อลดการเสียดสีผิวหนังควรตัดเล็บ ให้สั้นเพื่อป้องกันการแกะเกา
ผิวหนังบริเวณที่ฉายรังสี ควรล้างด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำสบู่ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และควรใช้ผ้าเช็ดตัวที่ อ่อนนุ่มซับบริเวณที่ฉายรังสี หลีกเลี่ยงการขัดถู หลีกเลี่ยงการใช้น้ำฝักบัวที่มีแรงดันน้ำที่แรงในการอาบน้ำ
ไม่ควรว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีน เพราะจะทำให้ผิวแห้ง
ห้ามวางกระเป๋าน้ำร้อน น้ำแข็งบริเวณที่ฉายรังสี ห้ามปิดพลาสเตอร์ ทายาหม่อง บริเวณที่ฉายรังสี
ถ้าเกิดอาการคัน ห้ามทาแป้งฝุ่น เพราะแป้งฝุ่นผสมด้วยโลหะหนัก ทำให้ระคายเคือง ผิวดำคล้ำมากขึ้น ให้ใช้แป้งข้าวโพดบริสุทธิ์แทน
ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 เป็นเวลา 1 ปี หลังการฉายรังสีเสร็จสิ้น



 

แท็ก
ยาเคมีบำบัด
ดูแลชีวิต...เคียงข้างคุณ

TOGETHER THROUGH LIFE


สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 บริษัทสิริเวชจันทบุรี จำกัด มหาชน